วันอังคารที่ 28 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

6 วิธีแก้เครียด




  1.   ยิ้ม การยิ้มเป็นภาษากายที่ดีที่สุด เป็นการเปิดประตูของหัวใจรับความสุขและให้ความสุขแก่ผู้อื่น และชื่นชมตัวเองได้ด้วย จงคิดว่าเรายิ้มให้กับความดีของคนอื่น จงยิ้มอย่างสดชื่น อารมณ์ดีมีชีวิตชีวา
  

 2.  อย่ากังวล ความกังวลเกิดจากความคาดหวัง อยากจะได้ในสิ่งที่เป็นได้ยาก และใจจะคิดอยากได้อยู่เสมอ เมื่อหมดความแสวงหา ลดความต้องการ ลดความอยากได้ลง ก็จะได้ไม่เครียดและเป็นทุกข์ต่อไป
  

3.   ความระแวง ความระแวงทำให้เป็นโรคเหงา คบใครๆ ก็ไม่สนิทสนมจากใจจริงและรู้สึกไม่ปลอดภัย เมื่ออยู่กับผู้อื่น ต้องทำอดีตให้เป็นอดีต อย่าทำอดีตให้เป็นปัจจุบันและกลัวอนาคต "เลิกคิดเถิด ความระแวง มะเร็งของความสุขของมนุษย์"


  4.  ความโกรธ ความโกรธเป็นอารมณ์ที่น่ากลัวและรุนแรงที่สุด การลดความโกรธมีหลายอย่าง เช่น การทำงานให้มากขึ้น ออกกำลังกาย สนใจศิลปวัฒนธรรม ธรรมชาติ เดินทางท่องเที่ยว ดนตรี เล่นกีฬา
  

5.  อารมณ์ขัน อารมณ์ขันนี้เป็นยาวิเศษที่ทำให้มีความสุข ผ่อนคลายความตึงเครียด ทำให้เกิดมิตรภาพ มีความสนุกสนานและบรรยากาศรอบๆ ตัวจะสุนทรีย์ ลดตัวเองสู่ความเป็นเด็กได้ มองโลกในแง่ดี รู้จักให้อภัยตัวเองและผู้อื่นได้


 6.   คาถาคลายเครียด "ช่างมัน" มนุษย์หนีความเครียดไม่พ้นหรอก บางคนมีมาก บางคนมีน้อย ความเครียดจึงทำให้ไม่เป็นสุข ทุกอย่างที่เกิดขึ้น มีการเปลี่ยนแปลงไป และสิ้นสุดได้ทั้งนั้น เมื่อรู้แล้วก็ปล่อยวาง หรือ "ช่างมัน" เมื่อรู้อย่างนี้แล้วใครอยากจะเครียดนานๆ ก็ตามใจ นอกจากไม่มีความสุขแล้วยังแก่เร็ว ป่วยบ่อยๆ ด้วย


7 เคล็ดลับ กินอย่างไรไม่ให้อ้วน


1.ทานอาหารเช้าเป็นประจำ เพราะมื้อเช้าเป็นมื้อที่สำคัญที่สุดและควรเป็นมื้อที่มีคุณค่าครบทั้ง 5 หมู่ในปริมาณที่เหมาะสม เพราะนอกจากจะช่วยเติมพลังให้ร่างกายและสมองแล้ว ยังช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลในเส้นเลือดช่วยให้การเผาผลาญพลังงานดีขึ้น

2.เลือกอาหารจากธรรมชาติไม่ขัดสี เช่น ข้าวกล้อง ข้าวบาร์เลย์(มอลต์) ถั่ว ข้าวสาลี (โฮลวีต) เมล็ดทานตะวัน เป็นต้น ซึ่งอาหารเหล่านี้มีคุณค่าทางโภชนาการสูง เป็นแหล่งรวมของแร่ธาตุ วิตามิน โปรตีนที่ปราศจากคอเลสเตอรอลและคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อน มีสารแอนติออกซิแดนท์ ใยอาหารและปัจจัยอื่นช่วยลดความเสี่ยงโรคหัวใจ นอกจากนี้ยังช่วยลดคอเลสเตอรอลและความดันโลหิตได้ หรืออาจเลือกอาหารที่มีส่วนผสมของธัญพืชไม่ขัดสี เช่น ขนมปังโฮลวีต ซีเรียลจากมอลต์ เป็นต้น


3.เพิ่มผักผลไม้ในมื้ออาหารและทานเป็นประจำ เพื่อเพิ่มวิตามิน เกลือแร่และสารอื่นๆ ที่จำเป็นต่อร่างกาย ช่วยลดความเสี่ยงโรคหัวใจ ช่วยนำคอเลสเตอรอลและสารก่อมะเร็งบางชนิดออกจากร่างกาย ทำให้ลดการสะสมของสารก่อมะเร็งบางชนิด และมีกากใยช่วยในการขับถ่าย ช่วยให้กระบวนการต่างๆ ในร่างกายดำเนินการได้อย่างมีประสิทธิภาพ


4.ลดขนมขบเคี้ยวและขนมอบ ที่มีแต่ไขมัน เกลือ น้ำตาลและสารปรุงแต่งอื่นๆ ที่ส่งผลเสียต่อสุขภาพ หากอยากทานขนมอาจหันมาทานขนมที่มีส่วนผสมของธัญพืชเพื่อเพิ่มคุณค่าทางโภชนาการให้กับขนมที่มีประโยชน์น้อย อย่างไรก็ตาม ควรทานในปริมาณที่เหมาะสมเท่านั้น


5.กินปลา ไข่และเนื้อสัตว์ไม่ติดมัน อาหารเหล่านี้เป็นแหล่งโปรตีนที่ดี ช่วยเสริมสร้างร่างกายในผู้เยาว์และซ่อมแซมเนื้อเยื่อที่เสื่อมสลายในผู้สูงวัย เป็นส่วนประกอบของสารสร้างภูมิคุ้มกันโรคติดเชื้อ ช่วยลดความเสี่ยงของโรคอ้วน ไขมันในเส้นเลือดสูง เป็นต้น


6.ดื่มเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพแทนน้ำหวาน น้ำอัดลม หรือเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ซึ่งมีน้ำตาลสูง การดื่มน้ำผักผลไม้ก็เป็นทางเลือกที่ดีเพราะอุดมไปด้วยคุณค่าทางโภชนาการ ทั้งคาร์โบไฮเดรต โปรตีน วิตามินและแร่ธาตุกว่า 50 ชนิด เหมาะกับคนทุกเพศทุกวัน

7.ดื่มน้ำและนมให้เป็นนิสัย ควรดื่มน้ำอย่างน้อยวันละ 8 แก้ว เพื่อช่วยระบบขับถ่ายและมีน้ำหล่อเลี้ยงในเซลล์ต่างๆ ของร่างกาย และควรดื่มนมอย่างน้อยวันละ 1-2 แก้ว ทั้งในเด็กและผู้ใหญ่ เพราะนมอุดมไปด้วยคุณค่าโภชนาการสูง ช่วยในการเจริญเติบโตของเด็กๆ ช่วยให้กระดูกและฟันแข็งแรง โดยชนิดของนม ขึ้นอยู่กับวัย หากเป็นเด็กทีกำลังเจริญเติบโตควรเป็นนมจืดธรรมดา แต่ในผู้สูงอายุควรเป็นนมพร่องมันเนยเพื่อมีส่วนช่วยลดคอเลสเตอรอล

***การกินเพื่อสุขภาพมีหลากหลายวิธี อยู่ที่ใครจะเลือกปฏิบัติแบบใด แต่หลักง่ายๆ คือทานอาหารให้ครบ5 หมู่ ครบทุกมื้อ แต่เลือกชนิดและปริมาณที่เหมาะสม นอกจากนี้ยังต้องออกกำลังกายควบคู่ไปด้วยจึงจะมีสุขภาพร่างกายที่แข็งแรง อารมณ์ที่สดใส และห่างไกลจากโรคร้ายต่างๆ อ.กัญชลี ให้คำแนะนำทิ้งท้าย***

9 วิธีเพิ่มไอคิว,อีคิว,สมรรถภาพสมอง

(1). ยิ่งใช้ยิ่งฉลาด
(2). หัวใจดีทำสมองดีไปด้วย
  • การป้องกันโรคหัวใจมีส่วนช่วยให้สมองดีไปด้วย เช่น การควบคุมอาหารและออกกำลังเพื่อป้องกันโรคอ้วน การตรวจเช็คความดันเลือด-ไขมันในเลือด-น้ำตาลในเลือดเป็นประจำ ถ้าสูงให้รักษาอย่างต่อเนื่อง มีส่วนช่วยป้องกันโรคสมองเสื่อม
  • กลไกสำคัญคือ การทำงานหัวใจและสมองต้องอาศัยหลอดเลือดดีๆ เป็นเส้นทางส่งกำลังบำรุง
...
(3). อาหารดีและพอดี
  • อาหารที่ดีกับสมองเป็นอาหารแบบเมดิเตอร์เรเนียน ซึ่งเน้นไปทางธัญพืชไม่ขัดสี เช่น กินขนมปังโฮลวีท(เติมรำ)แทนขนมปังขาว กินข้าวกล้องแทนข้าวขาว ฯลฯ ผลไม้ทั้งผล(ปั่นรวมกากได้ แต่ไม่ควรดื่มน้ำผลไม้กรองกากออก) ผัก ถั่ว น้ำมันมะกอก(น้ำมันในไทยที่คล้ายน้ำมันมะกอกมากที่สุด คือ น้ำมันรำข้าว)
  • อาหารดีอย่างเดียวไม่พอ... ต้องขอพอดีด้วย เพราะถ้าอ้วน... หลอดเลือดจะเสื่อมง่าย ทำให้สมองไม่ดี หรือถ้าอ้วนไปแล้ว ควรรีบเปลี่ยนเป็นคนอ้วนฟิต เพราะความฟิต(แข็งแรง)มีส่วนทำให้สมองดี
(4). ออกกำลัง
  • การออกกำลังกระตุ้นให้มีการสร้างหลอดเลือดใหม่ๆ รอบๆ เซลล์ประสาท ทำให้ได้ "น้ำเลี้ยง" ดี และช่วยกระตุ้นให้เซลล์ประสาทงอกกิ่งก้านสาขาไปต่อเชื่อมกัน เปรียบคล้ายการเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ต หรือเครือข่ายคอมพิวเตอร์ที่ดีขึ้น
  • การเดินเร็ว 1 กิโลเมตรเศษ สัปดาห์ละ 2-3 ครั้ง ลดเสี่ยงสมองเสื่อมได้ประมาณ 30% (ควรเป็นการเดินเร็ว นาทีละ 100 ก้าว หรือจับเวลา 15 วินาทีแล้วเดินได้ 25 ก้าวขึ้นไป)
...
(5). งีบสั้นๆ
  • การนอนสั้นๆ ไม่เกิน 30 นาทียามบ่ายช่วยให้สมองมีเวลาปรับโครงสร้างข้อมูลใหม่ๆ ให้เป็นระบบดีกว่านอนกลางคืนอย่างเดียว
(6). ฝึกไอคิวได้
  • ไอคิว(IQ)ไม่ใช่ค่าคงที่ หรือตราบาปที่จะบอกว่า ใครโง่อีกต่อไป... คนเราฝึกสมองด้วย 2 มือ 2 เท้าของเราได้ (2 มือ = หยิบหนังสือมาอ่าน; 2 เท้า = เดินให้มาก เนื่องจากสมองดีๆ เริ่มต้นที่เท้าเดิน ไม่ใช่นั่งๆ นอนๆ)
  • อาจารย์เรสแตกแนะนำว่า วิธีเพิ่ม IQ ดีๆ คือ การอ่านหนังสือดีๆ เช่น วรรณกรรมชั้นเยี่ยม ฯลฯ อ่านบล็อกดีๆ ฯลฯ
  • ขยายของเขตของความสนใจออกไป เช่น ถ้าอ่านหรือฟังข่าวอะไรแล้วให้นึกถึงภาพแผนที่ประเทศนั้นให้ได้ทันที หรือถ้าฟังข่าวในประเทศให้นึกถึงภาพแผนที่จังหวัดนั้นทันที...
  • ถ้านึกไม่ได้ให้รีบ "ค้นคว้าทันที (instant searching)" เช่น ถามคุณครูกูเกิ้ล (Google search) ฯลฯ เพื่อให้ความอยากรู้อยากเห็น (curiosity) เพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ และสมองจะอ่อนเยาว์คล้ายสมองเด็ก
  • เรื่องต่อไปที่จะพัฒนาสมองได้ คือ ให้เรียนรู้ศัพท์ใหม่ๆ หรือภาษาใหม่ๆ เป็นประจำทุกวัน ซึ่งทำได้โดยการฝึกเปิดพจนานุกรม (dictionary) ทันทีที่พบศัพท์ใหม่ และนึกภาพทันที เช่น ถ้าได้ยินคำว่า 'swine flu' ให้รีบเปิดพจนานุกรม เมื่อแปลเป็น "ไข้หวัดหมู" ได้ ให้รีบนึกถึงภาพคนเป็นไข้หวัดใหญ่ ภาพหมูในใจ ฯลฯ แล้วค้นคว้าเพิ่มเติมทันทีว่า เรื่องนี้มีข้อมูลอย่างไร
  • เรื่องนี้ทำให้ผู้เขียนนึกถึงคำสอนของ รศ.ดร.นัยพินิจ คชภักดีที่ว่า ความเป็นอัจฉริยะต่างจากความฉลาดตรงที่ว่า อัจฉริยภาพจะทำลาย 'boundaries' หรือกำแพงขวางกั้นองค์ความรู้สาขาต่างๆ ทำให้เกิดเครือข่ายความรู้ภายใน
  • เวลาคนฉลาดคิดจะคิดเป็นเรื่องๆ หรือ "คิดลึก" เฉพาะสาขา... แต่อัจฉริยบุคคลจะมีการคิดเป็นเรื่องๆ หรือ "คิดลึก" สลับกับการ "เชื่อมโยง (integrate)" องค์ความรู้หลายๆ สาขา(interdisciplinary) อย่างรวดเร็ว ทำให้เกิดความคิดสร้างสรรค์ สมมติฐาน หรือองค์ความรู้ใหม่ๆ ขึ้น
...
(7). เล่นเกมส์
  • สมองคนเราได้รับการออกแบบให้ทำงานอย่างมีประสิทธิภาพได้ครั้งละ 1 เรื่อง และจะทำงานได้ดีขึ้นถ้าฝึกสมองด้วยวิธีต่างๆ เช่น เล่นเกมส์ หมากรุก หมากฮอส ฯลฯ
(8). เชื่อมโยง
  • เรียนรู้ให้ "ลึก (deep)" สัก 1-2 เรื่อง โดยเฉพาะสาขาวิชาชีพที่เราทำงานต้องรู้ให้ลึกและรู้ให้มาก
  • หลังจากนั้นให้ขยายมิติของความรู้ออกไปในแนวนอน หรือแนว "กว้าง (wide)" เช่น เมื่อฟังหรืออ่านข่าวประเทศอะไรหรือจังหวัดอะไร ให้นึกให้ได้ว่า แผนที่ประเทศหรือจังหวัดนั้นๆ อยู่ที่ไหน ผู้คนมีหน้าตาอย่างไร นับถือศาสนาอะไร สวมเสื้อผ้าอย่างไร นิสัยใจคอเป็นอย่างไร ชอบหรือไม่ชอบอะไร ฯลฯ (ปัจจุบันทำได้ง่าย เนื่องจากมีบริการสารานุกรรมวิกิพีเดียภาคภาษาไทยพร้อมแผนที่)
  • เปรียบเทียบ เช่น เมื่อได้ยินชื่อประเทศให้ลองเปรียบเทียบดูว่า ขนาด(พื้นที่) ประชากร หรือข้อมูลอื่นๆ เป็นกี่เท่า มากหรือน้อยกว่าประเทศที่เราอยู่(ไทย) ฯลฯ
...
(9). สนใจเรื่องใหม่ๆ
  • การมีงานอดิเรก และตั้งใจทำงานอดิเรกให้เก่งมีส่วนช่วยขยายขอบเขตขององค์ความรู้ให้กว้างและลึกลงไปในเรื่องอื่นๆ
  • ศาสตราจารย์ปีเตอร์ ดรัคเกอร์ ศาสตราจารย์ 4 สาขาวิชา (เน้นด้านการจัดการ) เขียนในหนังสือเล่มหนึ่งว่า ท่านจะสนใจและค้นคว้าเรื่องใหม่ๆ แบบเจาะลึกไปทุกๆ 3 ปี ชีวิตการทำงานของท่าน 80 ปีจึงมีองค์ความรู้ที่สะสม และเชื่อมโยงได้อย่างกว้างขวาง (ท่านทำงานจนถึงอายุประมาณ 92 ปี หรือปีสุดท้ายที่เสียชีวิต)