วันอังคารที่ 4 มิถุนายน พ.ศ. 2556

10อาชีพที่นิยม

ผลสรุปของสาขา-อาชีพ ยอดนิยม ทั้งความนิยมของนักเรียน และความต้องการของนายจ้างในยุคนี้ โดยสวนดุสิตโพลสำรวจ ฟันธงออกมาได้ว่า การเรียนด้าน “บัญชี” ผงาดขึ้นครองอันดับ 1 ตามติดมาด้วย แพทย์ บริหารธุรกิจ คอมพิวเตอร์ วิศวะ การตลาด นิติศาสตร์ พยาบาล การจัดการ และปิดท้ายด้วยรัฐศาสตร์….ใครที่คิดเอาดีใน 10 ด้านนี้ โอกาสที่จะหางานได้ง่ายในอีก 4-5 ปีข้างหน้าท่าทางจะสดใส...
ทำไม...สาขาและอาชีพทั้ง 10 ด้านนี้ จึงมีความน่าสนใจและเป็นที่ต้องการของตลาด
ตามมาเลย...!!!
อันดับ 1 นักบัญชี
น้อง ๆ ที่กำลังสนใจอาชีพการเป็นนักบัญชี หรือสมุห์บัญชี ควรสำรวจตัวเองว่า มีนิสัยอย่างไร บุคลิก หรือการทำงานที่ผ่านมา ชอบทำตามกฎเกณฑ์หรือไม่ เนื่องจากคนที่จะทำงานทางด้านนี้ ควรจะมีบุคลิกภาพที่ทำตามระเบียบแบบแผน (Conventional) ซึ่งหากสำรวจตัวเองว่ามีคุณสมบัติดังกล่าว ก็เตรียมตัวกันได้เลย...


หน้าที่รับผิดชอบนักบัญชี จะทำหน้าที่ วางแผน และดำเนินงานด้านการเงินและการคลังของสถานประกอบการธุรกิจ บุคคล สถาบันเอกชน และหน่วยงานของรัฐบาล ร่วมกำหนดนโยบายและวางระบบและระเบียบด้านบัญชี การเงิน และงบประมาณ ร่วมคิดค้น วางระบบ ควบคุมงานบัญชีต่าง ๆ และงบประมาณ วางแผนด้านการจัดตั้งงบประมาณ อีกความรับผิดชอบที่สำคัญคือ ติดตามการใช้เงินของหน่วยงาน วิเคราะห์งบการเงิน และประเมินผลการลงทุน จัดทำรายงานทางการเงินได้อย่างรวดเร็ว ถูกต้องและเชื่อถือได้ วิเคราะห์และจัดทำระบบสารสนเทศด้านการเงินเพื่อให้ผู้บริหารใช้ในการบริหารและตัดสินใจในการบริหารงานให้เกิดประสิทธิภาพ ตลอดจนให้คำแนะนำและคำปรึกษาเกี่ยวกับวิธีปฏิบัติงานด้านบัญชี การเงินและงบประมาณเพื่อให้สอดคล้องและเป็นมาตรฐานเดียวกัน นอกจากนี้ ยังทำหน้าที่วิเคราะห์ความสัมพันธ์ของต้นทุน ปริมาณ และผลตอบแทน รวมทั้งวิเคราะห์สภาพคล่องของกิจการ และข้อมูลต่าง ๆ ที่ใช้เกี่ยวกับการดำเนินงาน
การปฏิบัติงาน
สิ่งสำคัญของการทำงานบัญชีคือ ต้องบันทึกข้อมูลการเงินขององค์การอย่างสมบูรณ์ตามระบบ เป็นระเบียบแบบแผน ทำบัญชีรายรับ หรือบัญชีรายจ่าย ตรวจสอบความถูกต้องของเอกสาร บันทึกเกี่ยวกับการจ่ายเงิน การรับเงินและธุรกิจการเงินอื่นๆ ลงบัญชีแยกประเภทตรวจสอบการลงบัญชี คำนวณและจ่ายเงินค่าจ้าง ทำรายงานแสดงฐานะทางการเงิน ทำรายงานแสดงฐานะทางการบัญชี ทำหน้าที่ปิดงบการเงิน ให้บริการทางการบัญชีแก่สถานประกอบกิจการธุรกิจ บุคคล สถาบันเอกชน หรือหน่วยงานรัฐบาล
นอกจากนี้แล้ว ความสำคัญและข้อได้เปรียบของนักบัญชีก็คือการทำหน้าที่ควบคุมดูแลการทำบัญชีและการตรวจสอบบัญชี การตรวจสอบ การรับรองความถูกต้อง และความครบถ้วนในการทำบัญชีและเอกสารทางการเงิน ตรวจสอบเอกสารการเบิกจ่าย จัดเตรียมงบทดลอง บันทึก รายการรับจ่ายประจำวัน พร้อมจัดทำรายงานภาษีมูลค่าเพิ่มซื้อและขายพร้อมทั้งเอกสารประกอบเพื่อนำเสนอกรมสรรพากรทุกเดือน และทุกสิ้นปี
ค่าตอบแทน
น้อง ๆ ที่เรียนและจบด้านบัญชีสามารถหางานและทำงานได้หลากหลาย ทั้งภาครัฐบาลและเอกชน เนื่องจากทุกหน่วยงานจำเป็นต้องมีฝ่ายบัญชีเพื่อดูและรับผิดชอบโดยตรง ค่าจ้างหรือค่าตอบแทนจึงขึ้นอยู่กับความสามารถ ความเชี่ยวชาญ โดยเฉพาะในภาคเอกชน ค่าเหนื่อยขึ้นอยู่กับชิ้นงานด้วย แต่โดยเฉลี่ยแล้ว ภาคเอกชนถ้าเป็นวุฒิ ปวส.รายได้จะอยู่ที่ 7,000-8,000 บาท ส่วนปริญญาตรีจะอยู่ที่ 10,000-12,000 บาท ส่วนการทำงานภาครัฐบาล จะได้รับเงือนเดือนตามวุฒิการศึกษา ปวส.อยู่ที่ 6,490 บาท และปริญญาตรีอยู่ที่ 7,260 บาท
การเรียนเพื่อเป็นนักบัญชี
ใครที่สนใจอาชีพนักบัญชี ต้องเลือกเรียนการบัญชีโดยตรง ซึ่งมีให้เลือกเรียนตั้งแต่อนุปริญญา วุฒิประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง (ปวส.) จนถึงปริญญาตรี ถ้าจะต่อยอดระดับสูงขึ้นไปก็มีให้เลือกหลายสถาบันในประเทศและต่างประเทศ และถ้าเรียนจบแล้วต้องการทำหน้าที่ผู้ทำบัญชีในสถานประกอบกิจการที่จดทะเบียนการค้า ต้องเข้ารับการอบรมความรู้เกี่ยวกับวิชาชีพบัญชีอย่างน้อยหนึ่งครั้งในทุกรอบ 3 ปี จากสถาบันวิชาชีพบัญชีหรือสถาบันการศึกษาหรือหน่วยงานที่อธิบดีกรมทะเบียนการค้าให้ความเห็นชอบ
เรียนจบหางานง่าย จะไม่ให้หางานง่ายได้อย่างไร เพราะการทำธุรกิจจะต้องมีคนทำงานด้านบัญชี อาชีพพนักงานบัญชีจึงยังคงเป็นที่ต้องการทั้งในหน่วยงานภาครัฐ ภาค เอกชน หรือธุรกิจส่วนตัว คนที่จบด้านนี้จึงเลือกทำงานได้หลายหน่วยงาน หลายองค์กรทั้งเอกชนหรือรัฐบาล แถมยังรับงานบัญชีไปทำที่บ้านได้อีกต่างหาก และเมื่อพนักงานบัญชีทำงานจนมีความพร้อมและมีคุณสมบัติตามที่คณะกรรมการควบคุมการประกอบวิชาชีพสอบบัญชี (กบช.) กำหนดไว้ก็มีสิทธิที่จะสอบเป็นผู้ตรวจสอบบัญชีรับอนุญาตได้ ซึ่งเป็นโอกาสดีสำหรับคนที่ต้องการเป็นเถ้าแก่ก็จะตั้งบริษัท หรือรับงานพิเศษได้อีกเพียบเลย
ความก้าวหน้าและทางเลือกในอาชีพ
นอกจากการเป็นพนักงานบัญชีแล้ว ถ้ามีประสบการณ์และผลงานก็จะได้เลื่อนเป็นผู้ทำบัญชี สมุห์บัญชี ผู้ตรวจสอบภายในหรือพนักงานบัญชีที่ได้รับการอบรมเกี่ยวกับงานบัญชี และมีประสบการณ์สามารถที่จะสอบเป็นผู้ตรวจสอบบัญชีรับอนุญาตสามารถที่จะรับงานตรวจสอบบัญชีเป็นอาชีพอิสระได้ และถ้าใครอยากเปลี่ยนไปทำงานด้านการธนาคาร บริษัทประกันภัย ประกอบอาชีพอิสระ หรือเป็นอาจารย์สอนบัญชีในวิทยาลัยและมหาวิทยาลัยต่างๆ ก็มีทางไว้ให้เลือกตามความชอบอีกด้วย

14 สไตล์ แนวการแต่งตัวของวัยรุ่น




วัยรุ่นสมัยนี้มีการแต่งตัวกันมากมาย

หลากหลายรูปแบบ เรามาดูกันดีกว่าว่ามีแบบไหนบ้าง

เริ่มจากที่ฮิตที่สุดในตอนนี้...



1.เกาหลี (Korea)

ตอนนี้กระแสเกาหลีกำลังมากแรง

ไม่ว่าจะเป็นไอดอล เพลง ไม่เว้นแต่เสื้อผ้า

เสื้อผ้าเกาหลีจะออกแนว เรียบแต่ดูดี มีทุกสัสัน

ใส่ได้ทุกงาน กำลังเป็นที่นิยมมากที่สุด 






2.ญี่ปุ่นฮาราจุกุ  (Japan)

เป็นแนวการแต่งตัวที่แอ็บแบ๊วมากที่สุด

หรือแนวๆ คอสเพลย์แบบญี่ปุ่นๆ

คิดว่าหลายๆ คนคงชอบค่ะ




3.Gankuro

สาวๆ จะนิยมทาหน้าทาตัวให้ดำ และย้อมผมสีทอง ใส่ไมโครสเกิร์ตและรองเท้าบูต ซึ่งเราจะเรียกว่า แฟชั่น Gankuro-หน้าดำ ซึ่งนับว่า เป็นแฟชั่นที่หลุดโลกมากทีเดียว


4.พั้งก์ (Punk)


เด็กพั้งก์มักไม่อยู่คนเดียว ส่วนใหญ่จะอยู่เป็นกุล่ม 

ซึ่งกลุ่มเด็กพั้งก์ที่ว่านี้มีหลากหลายแนว ไม่ว่าจะเป็นพั้งก์ร็อค อีโมพั้งก์  

พั้งก์เมทอล พั้งสกา พั้งสเก็ต และอีกสารพัดพั้งก์ แต่งตัวส่วนใหญ่เน้นสีดำ ทาเล็บ ปากสีดำ  

ใส่เสื้อแจ๊คเก็ต กางเกงขารู๊ดรัดปลายขา รองเท้าหนัง  

บางกลุ่มยัดปลายกางเกงไว้ในรองเท้า เครื่องประดับเน้นทำมาจากเหล็กสีเงิน  

ออกแนวดุ โหด  

มีสองประเภทคือพั้งค์แบบออริจินอล (แบบฝรั่งอ่ะ) แล้วก็ U.K.Punk (พั้งค์แบบญี่ปุ่น)


U.K.Punk




พั้งแบบฝรั่งค่ะ (โหดกว่าเยอะ)






5.Emo

คล้ายๆ พังค์แต่จะไม่เวอร์มาก

คล้ายเด็กแมค นิยมทาขอบตาเป็นสีดำ

เจาะตามร่างกาย เช่น จมูก ปาก (บลาๆๆๆ)

ใส่เสื้อยืคสกีนโหดๆ อาร์ตๆ เข็มขัดหัวหมุด รองเท้าผ้าใบ

ทำผมข้างหลังให้ฟูมากที่สุดเท่าที่จะทำได้

ส่วนผมข้างหน้าทำให้ตรงที่สุดเท่าที่จะทำได้

*เหมาะสำหรับคนผิวขาวมากๆ ถึงมากที่สุด





6.เด็กบอร์ด,เด็กฮิป (Hiphop)
เด็กแนวนี้จะใส่เสื้อและกางเกงตัวใหญ่ๆ ขาสามส่วน จะชอบเพลงแนวฮิปฮอป  

ไปไหนก็มักไปกันเป็นกลุ่ม  



  





7.เด็กอินดิเพนเด้นท์  (Indy)
ตอนนี้กำลังเป็นที่นิยมมากๆ ออกแนวย้อนยุค (บางคนเอาเสื้อยายมาใส่ยังมี)

ตรงตัวเลยคือแต่งตัวต้องไม่ซ้ำแบบใคร จุดเด่นของแนวนี้เน้นเสื้อสีแป๋นๆ สดๆ  

ลายเสื้อและกางเกงเป็นเส้นขวางตัดไขว้ไปไขว้มา สุดท้ายต้องใส่แว่นตาสีสดๆ

หรือแว่นตาไม่เลนส์ที่เรียกกันว่าแว่นเด็กเนิร์สนั่นเอง 





8.โบฮีเมียน (Bohemian)

แนวนี้อาจไม่ค่อยฮิตมากในหมู่วัยรุ่น

เสื้อผ้าจะออกเป็นแนวยิปซี หมอดู แบบคล้ายๆ ปาร์มมี่อ่ะค่ะ

ปล่อยผ้ายาวๆ ดัดลอนเล็ก ชุดมีลวดลาย สีสันสวยงาม

เครื่องประดับมากๆ จำพวก กำไล สร้อยข้อเท้า

ส่วนใหญ่จะนิยมในพวกเด็กอาร์ต เด็กติสค่ะ




9.เด็กแมค
เด็กแมคนับเป็นแนวที่กำลังมาแรงที่สุด  

ซึ่งเด็กแนวนี้จะเลียนแบบการแต่งตัวของชาวเม็กซิกันสมัยก่อน ตัดผมสั้นเกรียน  

ที่สำคัญต้องห้อยสร้อยไม้กางเขน เสื้อตัวใหญ่ๆ สกรีนรูปโหดๆ อย่างกระโหลกไขว้  

สวมถุงเท้าให้ตึงจนถึงเข่า นุ่งกางเกงตัวโคร่ง แถมใส่แว่นดำในเวลากลางคืน




10. สกาเร็กเก้

แนวนี้ส่วนใหญ่จะแต่งเอาแนวอ่ะค่ะ

เน้นสี เขียว เหลือง แดง เท่านั้น

ผมฟูๆ สีดำ หรือ น้ำตาล

ส่วนใหญ่จะแต่งกันเฉพาะคนผิวดำ




-----------------------------------------



**เรามาดูแนวการแต่งตัวแบบนอกขอบเขต (ที่มีอยู่มากในประเทศไทย) บ้างดีกว่า **


11.เด็กเซอร์  
คือพวกที่ชอบทำตัวเซอร์ๆ แต่งตัวเซอร์ๆ ที่เด่นสุดคือกางเกง  
จะเป็นกางเกงยีนส์ที่ใส่บ่อยๆจนเก่า+ริ้วขึ้น ประมาณว่ายิ่งเก่าจะยิ่งเซอร์  

ที่สวนจตุจักรจะมีร้านขาย-รับ อยู่หลายร้าน ยิ่งเก่าได้เท่าไหร่ก็มีราคามากขึ้นเท่านั้น 

ส่วนรองเท้าเด็กเซอร์จะนิยมใช้converse ที่มันเก่าๆขาดๆ เสื้อก็เสื้อยืดธรรมดา การแต่งตัวจะตรงกับชื่อคือ "เซอร์"  


12.เด็กแซป  

ลักษณะเด่นๆ ของเด็กแนวอย่างเด็กแซป คือทรงผมดูยุ่งๆ ปาดหน้า  

ใส่เสื้อตัวเล็กรัดรูป หรือใส่เสื้อเชิ้ตมีลายพร้อย นุ่งกางเกงขาเดฟ  

หรือกางเกงลายทหาร ถุงเท้าขาวดึงขึ้นสูง รองเท้าต้องผ้าใบยี่ห้อคอนเวิร์ส  

ออสตาร์ หรือแจ็คพาเซล บางครั้งใส่เสื้อทับสีดำ  

และเสื้อข้างในสีส้มหรือเสื้อทหารลายพลาง นุ่งกางเกงฟุตบอล ใส่รองเท้าคีบ  

ถ้าเป็นผู้หญิงจะซอยผมด้านบนให้สูงๆ สั้นๆ แต่ยังคงความยาวไว้ และเรียกว่า  

"สก๊อย" หรือ "เลดี้แซป" เป็นพวกเดียวกับเด็กแซป นุ่งกางเกงขาสั้นลายดอกสีชมพู  

เสื้อสีขาวตัวเล็ก ใส่รองท้าหูคีบ  



13.เด็กเทส,เด็กแว้น,เด็กแป๊น
  

"เด็กเทส" หรือ "เด็กแว้น" "เด็กแป๊น" มาจากเสียงเวลาบิดมอเตอร์ไซค์  

ชอบทำเครื่องยนต์ใหม่ให้มีเสียงดัง และแรงเวลาบิดทีก็ทำให้ชาวบ้าน  

ชาวช่องปวดหูไปตามๆ กัน ชอบใส่เสื้อรัดรูป กางเกงขาเดฟ  

ผู้หญิงจะนุ่งขาสั้นชอบซ้อนมอเตอร์ไซค์  



14.เด็กผ้าบาง  
เด็กแนวกลุ่มนี้จะนิยมใส่เสื้อเนื้อบางๆ ที่สำคัญต้องทำจากผ้าคอตตอน 50%  

เท่านั้น  

วันอังคารที่ 28 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

6 วิธีแก้เครียด




  1.   ยิ้ม การยิ้มเป็นภาษากายที่ดีที่สุด เป็นการเปิดประตูของหัวใจรับความสุขและให้ความสุขแก่ผู้อื่น และชื่นชมตัวเองได้ด้วย จงคิดว่าเรายิ้มให้กับความดีของคนอื่น จงยิ้มอย่างสดชื่น อารมณ์ดีมีชีวิตชีวา
  

 2.  อย่ากังวล ความกังวลเกิดจากความคาดหวัง อยากจะได้ในสิ่งที่เป็นได้ยาก และใจจะคิดอยากได้อยู่เสมอ เมื่อหมดความแสวงหา ลดความต้องการ ลดความอยากได้ลง ก็จะได้ไม่เครียดและเป็นทุกข์ต่อไป
  

3.   ความระแวง ความระแวงทำให้เป็นโรคเหงา คบใครๆ ก็ไม่สนิทสนมจากใจจริงและรู้สึกไม่ปลอดภัย เมื่ออยู่กับผู้อื่น ต้องทำอดีตให้เป็นอดีต อย่าทำอดีตให้เป็นปัจจุบันและกลัวอนาคต "เลิกคิดเถิด ความระแวง มะเร็งของความสุขของมนุษย์"


  4.  ความโกรธ ความโกรธเป็นอารมณ์ที่น่ากลัวและรุนแรงที่สุด การลดความโกรธมีหลายอย่าง เช่น การทำงานให้มากขึ้น ออกกำลังกาย สนใจศิลปวัฒนธรรม ธรรมชาติ เดินทางท่องเที่ยว ดนตรี เล่นกีฬา
  

5.  อารมณ์ขัน อารมณ์ขันนี้เป็นยาวิเศษที่ทำให้มีความสุข ผ่อนคลายความตึงเครียด ทำให้เกิดมิตรภาพ มีความสนุกสนานและบรรยากาศรอบๆ ตัวจะสุนทรีย์ ลดตัวเองสู่ความเป็นเด็กได้ มองโลกในแง่ดี รู้จักให้อภัยตัวเองและผู้อื่นได้


 6.   คาถาคลายเครียด "ช่างมัน" มนุษย์หนีความเครียดไม่พ้นหรอก บางคนมีมาก บางคนมีน้อย ความเครียดจึงทำให้ไม่เป็นสุข ทุกอย่างที่เกิดขึ้น มีการเปลี่ยนแปลงไป และสิ้นสุดได้ทั้งนั้น เมื่อรู้แล้วก็ปล่อยวาง หรือ "ช่างมัน" เมื่อรู้อย่างนี้แล้วใครอยากจะเครียดนานๆ ก็ตามใจ นอกจากไม่มีความสุขแล้วยังแก่เร็ว ป่วยบ่อยๆ ด้วย


7 เคล็ดลับ กินอย่างไรไม่ให้อ้วน


1.ทานอาหารเช้าเป็นประจำ เพราะมื้อเช้าเป็นมื้อที่สำคัญที่สุดและควรเป็นมื้อที่มีคุณค่าครบทั้ง 5 หมู่ในปริมาณที่เหมาะสม เพราะนอกจากจะช่วยเติมพลังให้ร่างกายและสมองแล้ว ยังช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลในเส้นเลือดช่วยให้การเผาผลาญพลังงานดีขึ้น

2.เลือกอาหารจากธรรมชาติไม่ขัดสี เช่น ข้าวกล้อง ข้าวบาร์เลย์(มอลต์) ถั่ว ข้าวสาลี (โฮลวีต) เมล็ดทานตะวัน เป็นต้น ซึ่งอาหารเหล่านี้มีคุณค่าทางโภชนาการสูง เป็นแหล่งรวมของแร่ธาตุ วิตามิน โปรตีนที่ปราศจากคอเลสเตอรอลและคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อน มีสารแอนติออกซิแดนท์ ใยอาหารและปัจจัยอื่นช่วยลดความเสี่ยงโรคหัวใจ นอกจากนี้ยังช่วยลดคอเลสเตอรอลและความดันโลหิตได้ หรืออาจเลือกอาหารที่มีส่วนผสมของธัญพืชไม่ขัดสี เช่น ขนมปังโฮลวีต ซีเรียลจากมอลต์ เป็นต้น


3.เพิ่มผักผลไม้ในมื้ออาหารและทานเป็นประจำ เพื่อเพิ่มวิตามิน เกลือแร่และสารอื่นๆ ที่จำเป็นต่อร่างกาย ช่วยลดความเสี่ยงโรคหัวใจ ช่วยนำคอเลสเตอรอลและสารก่อมะเร็งบางชนิดออกจากร่างกาย ทำให้ลดการสะสมของสารก่อมะเร็งบางชนิด และมีกากใยช่วยในการขับถ่าย ช่วยให้กระบวนการต่างๆ ในร่างกายดำเนินการได้อย่างมีประสิทธิภาพ


4.ลดขนมขบเคี้ยวและขนมอบ ที่มีแต่ไขมัน เกลือ น้ำตาลและสารปรุงแต่งอื่นๆ ที่ส่งผลเสียต่อสุขภาพ หากอยากทานขนมอาจหันมาทานขนมที่มีส่วนผสมของธัญพืชเพื่อเพิ่มคุณค่าทางโภชนาการให้กับขนมที่มีประโยชน์น้อย อย่างไรก็ตาม ควรทานในปริมาณที่เหมาะสมเท่านั้น


5.กินปลา ไข่และเนื้อสัตว์ไม่ติดมัน อาหารเหล่านี้เป็นแหล่งโปรตีนที่ดี ช่วยเสริมสร้างร่างกายในผู้เยาว์และซ่อมแซมเนื้อเยื่อที่เสื่อมสลายในผู้สูงวัย เป็นส่วนประกอบของสารสร้างภูมิคุ้มกันโรคติดเชื้อ ช่วยลดความเสี่ยงของโรคอ้วน ไขมันในเส้นเลือดสูง เป็นต้น


6.ดื่มเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพแทนน้ำหวาน น้ำอัดลม หรือเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ซึ่งมีน้ำตาลสูง การดื่มน้ำผักผลไม้ก็เป็นทางเลือกที่ดีเพราะอุดมไปด้วยคุณค่าทางโภชนาการ ทั้งคาร์โบไฮเดรต โปรตีน วิตามินและแร่ธาตุกว่า 50 ชนิด เหมาะกับคนทุกเพศทุกวัน

7.ดื่มน้ำและนมให้เป็นนิสัย ควรดื่มน้ำอย่างน้อยวันละ 8 แก้ว เพื่อช่วยระบบขับถ่ายและมีน้ำหล่อเลี้ยงในเซลล์ต่างๆ ของร่างกาย และควรดื่มนมอย่างน้อยวันละ 1-2 แก้ว ทั้งในเด็กและผู้ใหญ่ เพราะนมอุดมไปด้วยคุณค่าโภชนาการสูง ช่วยในการเจริญเติบโตของเด็กๆ ช่วยให้กระดูกและฟันแข็งแรง โดยชนิดของนม ขึ้นอยู่กับวัย หากเป็นเด็กทีกำลังเจริญเติบโตควรเป็นนมจืดธรรมดา แต่ในผู้สูงอายุควรเป็นนมพร่องมันเนยเพื่อมีส่วนช่วยลดคอเลสเตอรอล

***การกินเพื่อสุขภาพมีหลากหลายวิธี อยู่ที่ใครจะเลือกปฏิบัติแบบใด แต่หลักง่ายๆ คือทานอาหารให้ครบ5 หมู่ ครบทุกมื้อ แต่เลือกชนิดและปริมาณที่เหมาะสม นอกจากนี้ยังต้องออกกำลังกายควบคู่ไปด้วยจึงจะมีสุขภาพร่างกายที่แข็งแรง อารมณ์ที่สดใส และห่างไกลจากโรคร้ายต่างๆ อ.กัญชลี ให้คำแนะนำทิ้งท้าย***

9 วิธีเพิ่มไอคิว,อีคิว,สมรรถภาพสมอง

(1). ยิ่งใช้ยิ่งฉลาด
(2). หัวใจดีทำสมองดีไปด้วย
  • การป้องกันโรคหัวใจมีส่วนช่วยให้สมองดีไปด้วย เช่น การควบคุมอาหารและออกกำลังเพื่อป้องกันโรคอ้วน การตรวจเช็คความดันเลือด-ไขมันในเลือด-น้ำตาลในเลือดเป็นประจำ ถ้าสูงให้รักษาอย่างต่อเนื่อง มีส่วนช่วยป้องกันโรคสมองเสื่อม
  • กลไกสำคัญคือ การทำงานหัวใจและสมองต้องอาศัยหลอดเลือดดีๆ เป็นเส้นทางส่งกำลังบำรุง
...
(3). อาหารดีและพอดี
  • อาหารที่ดีกับสมองเป็นอาหารแบบเมดิเตอร์เรเนียน ซึ่งเน้นไปทางธัญพืชไม่ขัดสี เช่น กินขนมปังโฮลวีท(เติมรำ)แทนขนมปังขาว กินข้าวกล้องแทนข้าวขาว ฯลฯ ผลไม้ทั้งผล(ปั่นรวมกากได้ แต่ไม่ควรดื่มน้ำผลไม้กรองกากออก) ผัก ถั่ว น้ำมันมะกอก(น้ำมันในไทยที่คล้ายน้ำมันมะกอกมากที่สุด คือ น้ำมันรำข้าว)
  • อาหารดีอย่างเดียวไม่พอ... ต้องขอพอดีด้วย เพราะถ้าอ้วน... หลอดเลือดจะเสื่อมง่าย ทำให้สมองไม่ดี หรือถ้าอ้วนไปแล้ว ควรรีบเปลี่ยนเป็นคนอ้วนฟิต เพราะความฟิต(แข็งแรง)มีส่วนทำให้สมองดี
(4). ออกกำลัง
  • การออกกำลังกระตุ้นให้มีการสร้างหลอดเลือดใหม่ๆ รอบๆ เซลล์ประสาท ทำให้ได้ "น้ำเลี้ยง" ดี และช่วยกระตุ้นให้เซลล์ประสาทงอกกิ่งก้านสาขาไปต่อเชื่อมกัน เปรียบคล้ายการเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ต หรือเครือข่ายคอมพิวเตอร์ที่ดีขึ้น
  • การเดินเร็ว 1 กิโลเมตรเศษ สัปดาห์ละ 2-3 ครั้ง ลดเสี่ยงสมองเสื่อมได้ประมาณ 30% (ควรเป็นการเดินเร็ว นาทีละ 100 ก้าว หรือจับเวลา 15 วินาทีแล้วเดินได้ 25 ก้าวขึ้นไป)
...
(5). งีบสั้นๆ
  • การนอนสั้นๆ ไม่เกิน 30 นาทียามบ่ายช่วยให้สมองมีเวลาปรับโครงสร้างข้อมูลใหม่ๆ ให้เป็นระบบดีกว่านอนกลางคืนอย่างเดียว
(6). ฝึกไอคิวได้
  • ไอคิว(IQ)ไม่ใช่ค่าคงที่ หรือตราบาปที่จะบอกว่า ใครโง่อีกต่อไป... คนเราฝึกสมองด้วย 2 มือ 2 เท้าของเราได้ (2 มือ = หยิบหนังสือมาอ่าน; 2 เท้า = เดินให้มาก เนื่องจากสมองดีๆ เริ่มต้นที่เท้าเดิน ไม่ใช่นั่งๆ นอนๆ)
  • อาจารย์เรสแตกแนะนำว่า วิธีเพิ่ม IQ ดีๆ คือ การอ่านหนังสือดีๆ เช่น วรรณกรรมชั้นเยี่ยม ฯลฯ อ่านบล็อกดีๆ ฯลฯ
  • ขยายของเขตของความสนใจออกไป เช่น ถ้าอ่านหรือฟังข่าวอะไรแล้วให้นึกถึงภาพแผนที่ประเทศนั้นให้ได้ทันที หรือถ้าฟังข่าวในประเทศให้นึกถึงภาพแผนที่จังหวัดนั้นทันที...
  • ถ้านึกไม่ได้ให้รีบ "ค้นคว้าทันที (instant searching)" เช่น ถามคุณครูกูเกิ้ล (Google search) ฯลฯ เพื่อให้ความอยากรู้อยากเห็น (curiosity) เพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ และสมองจะอ่อนเยาว์คล้ายสมองเด็ก
  • เรื่องต่อไปที่จะพัฒนาสมองได้ คือ ให้เรียนรู้ศัพท์ใหม่ๆ หรือภาษาใหม่ๆ เป็นประจำทุกวัน ซึ่งทำได้โดยการฝึกเปิดพจนานุกรม (dictionary) ทันทีที่พบศัพท์ใหม่ และนึกภาพทันที เช่น ถ้าได้ยินคำว่า 'swine flu' ให้รีบเปิดพจนานุกรม เมื่อแปลเป็น "ไข้หวัดหมู" ได้ ให้รีบนึกถึงภาพคนเป็นไข้หวัดใหญ่ ภาพหมูในใจ ฯลฯ แล้วค้นคว้าเพิ่มเติมทันทีว่า เรื่องนี้มีข้อมูลอย่างไร
  • เรื่องนี้ทำให้ผู้เขียนนึกถึงคำสอนของ รศ.ดร.นัยพินิจ คชภักดีที่ว่า ความเป็นอัจฉริยะต่างจากความฉลาดตรงที่ว่า อัจฉริยภาพจะทำลาย 'boundaries' หรือกำแพงขวางกั้นองค์ความรู้สาขาต่างๆ ทำให้เกิดเครือข่ายความรู้ภายใน
  • เวลาคนฉลาดคิดจะคิดเป็นเรื่องๆ หรือ "คิดลึก" เฉพาะสาขา... แต่อัจฉริยบุคคลจะมีการคิดเป็นเรื่องๆ หรือ "คิดลึก" สลับกับการ "เชื่อมโยง (integrate)" องค์ความรู้หลายๆ สาขา(interdisciplinary) อย่างรวดเร็ว ทำให้เกิดความคิดสร้างสรรค์ สมมติฐาน หรือองค์ความรู้ใหม่ๆ ขึ้น
...
(7). เล่นเกมส์
  • สมองคนเราได้รับการออกแบบให้ทำงานอย่างมีประสิทธิภาพได้ครั้งละ 1 เรื่อง และจะทำงานได้ดีขึ้นถ้าฝึกสมองด้วยวิธีต่างๆ เช่น เล่นเกมส์ หมากรุก หมากฮอส ฯลฯ
(8). เชื่อมโยง
  • เรียนรู้ให้ "ลึก (deep)" สัก 1-2 เรื่อง โดยเฉพาะสาขาวิชาชีพที่เราทำงานต้องรู้ให้ลึกและรู้ให้มาก
  • หลังจากนั้นให้ขยายมิติของความรู้ออกไปในแนวนอน หรือแนว "กว้าง (wide)" เช่น เมื่อฟังหรืออ่านข่าวประเทศอะไรหรือจังหวัดอะไร ให้นึกให้ได้ว่า แผนที่ประเทศหรือจังหวัดนั้นๆ อยู่ที่ไหน ผู้คนมีหน้าตาอย่างไร นับถือศาสนาอะไร สวมเสื้อผ้าอย่างไร นิสัยใจคอเป็นอย่างไร ชอบหรือไม่ชอบอะไร ฯลฯ (ปัจจุบันทำได้ง่าย เนื่องจากมีบริการสารานุกรรมวิกิพีเดียภาคภาษาไทยพร้อมแผนที่)
  • เปรียบเทียบ เช่น เมื่อได้ยินชื่อประเทศให้ลองเปรียบเทียบดูว่า ขนาด(พื้นที่) ประชากร หรือข้อมูลอื่นๆ เป็นกี่เท่า มากหรือน้อยกว่าประเทศที่เราอยู่(ไทย) ฯลฯ
...
(9). สนใจเรื่องใหม่ๆ
  • การมีงานอดิเรก และตั้งใจทำงานอดิเรกให้เก่งมีส่วนช่วยขยายขอบเขตขององค์ความรู้ให้กว้างและลึกลงไปในเรื่องอื่นๆ
  • ศาสตราจารย์ปีเตอร์ ดรัคเกอร์ ศาสตราจารย์ 4 สาขาวิชา (เน้นด้านการจัดการ) เขียนในหนังสือเล่มหนึ่งว่า ท่านจะสนใจและค้นคว้าเรื่องใหม่ๆ แบบเจาะลึกไปทุกๆ 3 ปี ชีวิตการทำงานของท่าน 80 ปีจึงมีองค์ความรู้ที่สะสม และเชื่อมโยงได้อย่างกว้างขวาง (ท่านทำงานจนถึงอายุประมาณ 92 ปี หรือปีสุดท้ายที่เสียชีวิต)